Chiang Rai News
มลพิษสารหนูในแม่น้ำเชียงรายซ้ำเติมเกษตรกรหนัก
เชียงราย – ข้อมูลล่าสุดจาก Rocket Media Lab ชี้ให้เห็นว่าน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูไม่ได้จำกัดแค่ในแม่น้ำกก แต่ยังลุกลามไปถึงแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกด้วย ส่งผลให้เกษตรกรรมในพื้นที่เหล่านี้เผชิญความเสียหายที่เพิ่มขึ้น อาจสูงถึง 547 ล้านบาท
สารโลหะหนักและสารหนูไหลมาตามแม่น้ำจากฝั่งเมียนมาถึงเชียงราย สร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจของเกษตรกรอย่างหนัก ขณะนี้เราทราบชัดแล้วว่าไม่ใช่เพียงแม่น้ำกกที่เสี่ยง แต่แม่น้ำสายและรวกก็ไม่ปลอดภัย น้ำที่ปนเปื้อนคุกคามพื้นที่ทำกินกว่า 63,000 ไร่และอาจทำให้มูลค่าความเสียหายเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 Rocket Media Lab เผยแพร่ข้อมูลจากชุมชนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายและรวก ช่วยประเมินว่าหากปัญหานี้ยืดเยื้อ เกษตรกรที่ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำในการเพาะปลูกจะขาดรายได้เป็นวงกว้าง
การตรวจวัดน้ำระหว่างวันที่ 23-27 มิถุนายน 2568 พบว่าสารหนูในแม่น้ำกก สาย และรวกมีปริมาณเกินค่ามาตรฐานทุกจุดโดยเฉพาะในเขตแม่สายและเชียงแสน
ห้าตำบลที่ได้รับผลกระทบตามลำน้ำสายและรวก ได้แก่ แม่สาย เวียงพางคำ เกาะช้าง เวียง และศรีดอนมูล แม่น้ำไหลผ่านพื้นที่เหล่านี้เป็นระยะทางกว่า 46 กิโลเมตร มีคนอาศัยอย่างน้อย 45,000 คน ส่วนใหญ่ทำการเกษตรและใช้น้ำจากแม่น้ำในชีวิตประจำวัน
ผลกระทบกับภาคเกษตรรุนแรง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า พื้นที่เกษตรกรรมของ 5 ตำบลนี้มีทั้งสิ้น 63,024 ไร่ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวถึง 44,740 ไร่หรือประมาณ 71 เปอร์เซ็นต์ ข้าวโพดปลูกอีกประมาณ 11,500 ไร่ หรือ 18 เปอร์เซ็นต์ พืชเศรษฐกิจอื่นๆ ได้แก่
- ยางพารา 2,456 ไร่ (3.9 เปอร์เซ็นต์)
- สับปะรด 1,687 ไร่ (2.7 เปอร์เซ็นต์)
- มันสำปะหลัง 903 ไร่ (1.4 เปอร์เซ็นต์)
- ปาล์มน้ำมัน 903 ไร่ (1.4 เปอร์เซ็นต์)
- ไม้ผล (ลำไย มังคุด มะพร้าว เงาะ กาแฟ ลิ้นจี่ หม่อน) 823 ไร่ (1.3 เปอร์เซ็นต์)
เมื่อคิดจากผลผลิตเฉลี่ยและราคาสินค้าเกษตรปี 2567 พื้นที่ติดแม่น้ำสายและรวกแห่งนี้สร้างรายได้ประมาณ 547 ล้านบาทต่อปี หรือราว 2.2 เปอร์เซ็นต์ของผลิตผลทางการเกษตรเชียงรายทั้งหมด รายได้เหล่านี้อยู่ในความเสี่ยงเพราะน้ำปนเปื้อน
ข้าวเป็นพืชที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 364 ล้านบาท หรือ 67 เปอร์เซ็นต์ของรายได้เกษตรรวมในพื้นที่ หลายแปลงตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำและใช้น้ำจากแม่น้ำในการทำนาโดยตรง
เชียงรายถือเป็นจังหวัดปลูกข้าวสำคัญของไทย ปี 2567 นาข้าวฤดูหลักมีพื้นที่ปลูกกว่า 1.24 ล้านไร่ ผลิตข้าวได้มากกว่า 677,000 ตัน ข้าวนาปรังอีก 365,000 ไร่ ให้ผลผลิต 357,000 ตัน
แม้เศรษฐกิจเชียงรายจะขับเคลื่อนด้วยภาคบริการเป็นหลัก (71,300 ล้านบาท จากรายได้รวม 107,300 ล้านบาทในปี 2565) แต่ภาคเกษตรก็ยังใหญ่เป็นอันดับสอง มีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท หรือเกือบ 23 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอุตสาหกรรมอยู่ที่อันดับสาม มูลค่า 8,000 ล้านบาท
อาชีพประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็ได้รับผลกระทบ
ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่เกษตรกรผู้เพาะปลูก คนที่ประกอบอาชีพประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในแม่น้ำเหล่านี้ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ปี 2567 ปริมาณปลาน้ำจืดที่จับได้ในเชียงรายรวม 1,417 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 92 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นปลาทับทิมกับปลาคาร์ป ในพื้นที่ 5 ตำบลที่ได้รับผลกระทบมีบ่อปลา 284 แห่ง รวมพื้นที่ประมาณ 690 ไร่ หากวิกฤตนี้ยืดเยื้อจะทำให้ผู้เลี้ยงปลาเดือดร้อนอย่างหนัก
งานวิจัยของ Rocket Media Lab พบว่าหากพิจารณาเฉพาะแม่น้ำกก จะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรใน 16 ตำบล รวมมูลค่า 3,240 ล้านบาท หรือประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตเกษตรทั้งจังหวัด
เมื่อนำมูลค่าความเสียหายใหม่จากแม่น้ำสายและรวก 547 ล้านบาทมารวม จะรวมความเสียหายจากมลพิษใน 3 แม่น้ำนี้เกือบ 3,780 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของภาคเกษตรในจังหวัด พื้นที่เกษตรที่ตกอยู่ในความเสี่ยงรวมกันกว่า 400,000 ไร่ ทั้งจากริมแม่น้ำสาย รวก และกก
ปัญหานี้เริ่มต้นเมื่อครึ่งปีก่อน เมื่อชาวบ้านในตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย เชียงใหม่ สังเกตว่าน้ำในแม่น้ำกกมีสีผิดปกติและไม่สามารถนำมาใช้บริโภคหรือทำกิจวัตรประจำวันได้อีก
การตรวจสอบพบว่ามีสารหนูและโลหะหนักสูงเกินมาตรฐาน สาเหตุมาจากเหมืองแร่หายากในฝั่งเมียนมา และตั้งแต่นั้นมาผลการตรวจน้ำตามแนวแม่น้ำทั้งหมดพบว่ามีพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ทำให้ปัญหานี้แก้ไขยากคือแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่ในฝั่งเมียนมา ไทยไม่สามารถใช้กฎหมายควบคุมสิ่งแวดล้อมข้ามแดนได้ อย่างไรก็ตาม เกษตรกรไทยต้องเผชิญกับผลกระทบทุกวัน
วิกฤตน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำกก สาย และรวก สะท้อนให้เห็นว่าควรมีความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดน ไม่เช่นนั้นความเสี่ยงต่อคนในพื้นที่จะยังคงมีอยู่ จำเป็นต้องมีแผนชัดเจนและสามารถทำได้จริงสำหรับอนาคต