Finance
ไทยลดขนาดกู้เงินรัฐรับวิกฤตเศรษฐกิจ กังวลเพดานหนี้สาธารณะ
กรุงเทพฯ – ประเทศไทยเลื่อนการกู้ยืมเงินจากภาครัฐสำหรับปีงบประมาณที่เริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เตรียมลดวงเงินกู้ยืมใหม่ลงร้อยละ 8หรืออยู่ที่ราว 992,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา สะท้อนความพยายามของรัฐในการคุมความน่าเชื่อถือทางการคลัง ขณะที่ยอดหนี้สาธารณะจ่อแตะเพดานกฎหมาย 70% ของจีดีพี
แหล่งข่าวในรัฐบาลให้ข้อมูลก่อนประกาศอย่างเป็นทางการว่า การกู้เงินทั้งหมดรวมถึงการหมุนหนี้เก่าจะลดลงเหลือ 2.37 ล้านล้านบาท จาก 2.57 ล้านล้านบาทในปีนี้ สวนทางกับปีก่อนที่รัฐเพิ่มการกู้ถึง 8% ชี้การรีเซตงบแบบรัดเข็มขัดอย่างจริงจัง
ผู้อำนวยการ สบน. พัชรา อนันตศิลป์ ได้ประชุมออนไลน์กับกลุ่มเทรดเดอร์พันธบัตรเมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อแจงแผน แต่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ร่างงบประมาณรายจ่าย 3.78 ล้านล้านบาทปี 2569 ที่เพิ่งได้รับพระราชทานลงมา คาดขาดดุลอยู่ที่ 860,000 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปีนี้ (880,000 ล้านบาท) จึงไม่มีช่องว่างให้คลาดเคลื่อนมาก
ตัวเลขหนี้สาธารณะไทยตอนกลางปี 2568 อยู่ที่ 12.1 ล้านล้านบาท หรือ 64.2% ของจีดีพี ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้เมื่อเทียบกับกลุ่มตลาดเกิดใหม่ แต่งานวิจัย สบน. คาดว่าอัตราส่วนนี้อาจขึ้นถึง 67.3% สิ้นปี 2569 หากจีดีพีโต 3% และชนเพดาน 68% หากเศรษฐกิจโตเพียง 2%
แม้เศรษฐกิจชะลอตัวแรงหรือติดขัดก็ยังไม่ผ่านเพดาน แต่ด้วยความไม่แน่นอนในตลาดโลก รวมถึงการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 19% ทำให้ฝั่งผู้กำกับนโยบายเลือกเข้มไว้ก่อน ข้าราชการรายหนึ่งระบุ การชะลอกู้เงินคือการใช้วินัยการคลังแบบไม่ยอมแตะเพดานหนี้ที่กฎหมายกำหนด
แผนลดกู้เงินเกิดขึ้นท่ามกลางความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจที่เคยโตดี 3.1% ในไตรมาสแรก ปีนี้กลับถูกหั่นเป้าเหลือ 1.8% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์เดิมของธนาคารโลกที่ 2.9% จากการส่งออกที่ชะลอและอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง
แบงก์ชาติยังปรับลดจีดีพีปี 2568 เหลือ 2.3% เพราะยอดส่งออกที่เร่งส่งล่วงหน้าก่อนโดนภาษีสหรัฐฯ แต่สถานการณ์จริงยังเผชิญแรงกดดันจากนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายน้อย และครัวเรือนลดภาระหนี้
ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยยังคงสูงต่อเนื่อง กดท่าใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งคิดเป็นกว่าครึ่งของจีดีพี ณ ไตรมาสแรกปีนี้ หนี้ทางการของครัวเรือนอยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท หรือ 87.4% ของจีดีพี ลดลงจาก 88.4% สิ้นปี 2567 เพราะธนาคารเข้มมาตรฐานปล่อยกู้และสินเชื่อใหม่หดตัว
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทางการยังไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด ผลวิจัยจุฬาฯ ร่วมกับกรรมการร่วม 3 สถาบันประเมินว่า หากนับหนี้นอกระบบด้วย อัตราหนี้ครัวเรือนไทยพุ่งถึง 104% ของจีดีพี ขณะที่ 40% ของครัวเรือนมีหนี้นอกระบบอยู่ เฉลี่ยครัวเรือนละเกือบ 100,000 บาท
อัตราสินเชื่อเสียขยับขึ้นในทุกชนิดสินเชื่อ ไม่ว่าบุคคล รถยนต์ หรือบ้าน แสดงถึงสัญญาณคุณภาพหนี้ที่แย่ลง ไอเอ็มเอฟแนะนำให้ไทยเร่งแก้ไขทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นหนี้ให้กลุ่มเปราะบาง ปรับปรุงกระบวนการล้มละลาย และควบคุมสินเชื่อใหม่ โดยเสนอตัวอย่างจากไอร์แลนด์และโครเอเชีย
ทางการไทยออกมาตรการช่วย เช่น ผ่อนปรนเกณฑ์สินเชื่อรวมสินเชื่อเดิมเข้ากับหนี้ใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นแค่การแก้ปลายเหตุ ประธานสมาคมธนาคารไทย และซีอีโอธนาคารกรุงไทย ระบุว่าหนี้ครัวเรือนไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่กำลังบั่นทอนกำลังซื้อชนชั้นกลาง ภาษีที่เก็บได้ยังน้อยมากเพราะฐานภาษีแคบ มีผู้เสียภาษีประมาณ 11 ล้านคนจากประชากร 68 ล้านคน การอัดงบช่วยเหลือลำบากเพราะอาจดันขาดดุลสูงขึ้น
ตลาดที่อยู่อาศัยไทยกำลังเผชิญวิกฤตหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี จำนวนคอนโดใหม่ในกรุงเทพฯ ไตรมาส 2 มีเพียง 373 ยูนิต ลดลงถึง 94.2% จากปีก่อน ต่ำสุดรอบ 16 ปี เพราะดอกเบี้ยสูง ต้นทุนก่อสร้างแพง และผู้ซื้อไม่กล้าเสี่ยง
ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านทั่วประเทศลด 10.5% ในไตรมาสแรก บ้านแนวราบลง 12% คอนโดลด 7.3% มูลค่ารวมลด 13% เหลือ 181,500 ล้านบาท สัญญาณอุปทานล้นตลาด นักวิเคราะห์ SCB EIC ชี้ว่าการฟื้นตัวยังอีกไกล เพราะอัตราการปฏิเสธสินเชื่อบ้านสูงถึง 70%
ผู้บริหารยูโอบี ประเทศไทย มองว่านี่คือวิกฤตอสังหาฯ เลวร้ายที่สุดในรอบศตวรรษ คาดว่าสินเชื่อบ้านปีนี้จะติดลบเป็นครั้งแรก ผู้ประกอบการจึงต้องลดกำไร ชะลอเปิดโครงการใหม่ แม้ธนาคารชาติผ่อนปรนหลักเกณฑ์ LTV ต่ออีกหนึ่งรอบแต่ผู้ซื้อระดับกลางที่เจอค่าจ้างคงที่ยังเข้าไม่ถึง ราคาบ้านทั้งประเทศขยับขึ้น 2.7% ในไตรมาสสองจากต้นทุนที่ดิน แต่จำนวนบ้านขายจริงนั้นลดลง ภาพรวมภาคอสังหาฯ ที่เคยป้อนแรงงานและจีดีพีจึงส่อแววซบเซาต่อ หากรายได้ประชาชนไม่เพิ่ม อาจซ้ำรอยภาวะเศรษฐกิจซบยาวแบบญี่ปุ่น
แม้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเคยเป็นตัวช่วยเศรษฐกิจ แต่ปีนี้นักท่องเที่ยว 7 เดือนแรกเข้าไทยเพียง 19.3 ล้านคน ลดลง 6% จากปีที่แล้ว รายได้หดตัว 4.2% ขณะที่ภูมิภาคคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งได้มากขึ้น
นักท่องเที่ยวจีนที่เคยสร้างรายได้ปีละกว่า 576,000 ล้านบาท จากผู้มาเยือน 6.7 ล้านคน ปีนี้ช่วงครึ่งแรกเหลือแค่ 2.3 ล้านคน ลด 32% คาดปีนี้ต่ำกว่า 5 ล้านคนเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี สิ่งที่กระทบได้แก่ข่าวอาชญากรรมในโซเชียล ความมั่นคงไม่ชัดเจน จีนเองโปรโมทเที่ยวในประเทศ แถมออกมาตรการวีซ่าฟรีกับมาเลเซีย ส่งผลให้คนจีนไปมาเลเซียเกือบ 1.12 ล้านคนในไตรมาสเดียว โต 22%
ตอนนี้มาเลเซียกลายเป็นตลาดหลักของไทยแทน มีนักท่องเที่ยว 2.36 ล้านคนถึงเดือนพฤษภาคม แต่ค่าใช้จ่ายต่อคนยังน้อยกว่าจีน (เฉลี่ย 40,000 บาทต่อทริปสำหรับมาเลเซีย เทียบกับ 60,000 บาทจากจีน) ขณะที่ญี่ปุ่นดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ถึง 21.5 ล้านคนใน 6 เดือนแรก โตขึ้น 21% สะท้อนการแข่งขันสูงในภูมิภาค
กรมการท่องเที่ยวไทยหั่นเป้ารายได้ลงจาก 2.3 ล้านล้านบาท เหลือ 2 ล้านล้านบาท เบนเข็ดไปหาตลาดคุณภาพอย่างอินเดีย สหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งมีอัตราโตสองหลักแต่ยังแทนที่จำนวนไม่ได้ ภาครัฐจึงพยายามชูแคมเปญความยั่งยืน เทศกาลอาหาร ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม แต่ก็ยังเจอกระแสลบจากภายนอกทั้งเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์เพื่อนบ้าน
นักวิเคราะห์มองว่ายังมีความหวังบ้าง เช่น หากเทรดโลกดีขึ้นหรือไทยเปิดตลาดจีนเมืองรองใหม่ได้ หรือดึงนักท่องเที่ยวอื่นๆ เข้ามา ยังพอช่วยฟื้น แต่หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทั้งภาษี ทักษะแรงงาน และนวัตกรรม ไทยก็เสี่ยงจะติดกับกับดักประเทศรายได้ปานกลาง การหั่นกู้เงินภาครัฐเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่แค่รัดเข็มขัดยังจุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจกลับมาไม่ได้เต็มที่ คนกรุงเทพฯ คนหนึ่งมองว่า “เราตัวเล็กลง แต่แกร่งขึ้นไหม อาจจะยังไม่ใช่”