Business
วิกฤตอสังหาริมทรัพย์: คนรุ่นใหม่เลือกเช่ามากกว่าซื้อ หลังจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อบ้านพุ่งสูงถึง 40%
จาะวิกฤติอสังหาฯ 2568 คนไทย 66% แห่เช่าบ้านแทนซื้อ หลังยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูงถึง 40%
เชียงราย – ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังถูกกดดันจากหลายด้าน หนี้ครัวเรือนยังสูง ธนาคารเข้มงวดเรื่องการปล่อยกู้มากขึ้น ทำให้การขอสินเชื่อบ้านถูกปฏิเสธในระดับน่ากังวล โดยเฉลี่ยราว 40% ของผู้ยื่นกู้ไม่ผ่าน และในกลุ่มบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราถูกปฏิเสธอาจพุ่งได้ถึง 70%
ความตึงตัวด้านเงินกู้ทำให้มุมมองเรื่องที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials จำนวนมากหันไปเลือกเช่าแทนซื้อ ข้อมูลชี้ว่ามีมากกว่า 66% ที่ตัดสินใจเช่า เพราะอยากย้ายที่อยู่ได้ง่ายกว่า และไม่อยากผูกมัดกับภาระระยะยาวในช่วงเศรษฐกิจยังไม่นิ่ง
ฝั่งผู้พัฒนาโครงการก็ต้องปรับตัว หลายรายหันไปเน้นยูนิตระดับบน หรือทำโครงการที่รองรับการปล่อยเช่ามากขึ้นเพื่อพยุงยอดขาย สำหรับหลายครอบครัว เป้าหมาย “มีบ้านเป็นของตัวเอง” เริ่มไกลออกไป และภาพของไทยกำลังขยับเข้าใกล้สังคม “Generation Rent” มากขึ้น
ข้อมูลที่เผยแพร่โดย LWS Wisdom and Solution สะท้อนภาพเดียวกัน คนรุ่นใหม่กว่า 66% เลือกเช่าแทนซื้อ แม้คนรายได้ระดับกลางยังอยากมีบ้าน แต่สภาพเศรษฐกิจและเงื่อนไขสินเชื่อทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายได้ง่าย
3 เหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนซื้อบ้านไม่ไหวในไทย
- รายได้ดูมั่นคง แต่ธนาคารยังไม่อนุมัติ
อัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น โดยเฉพาะบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งควรเป็นช่วงราคาของผู้ซื้อบ้านหลังแรก แต่กลับเป็นกลุ่มที่ถูกปฏิเสธมากที่สุด หนี้ครัวเรือนสูง และเกณฑ์ตรวจสอบเข้มขึ้น ทำให้หลายคนไม่ผ่านการประเมินความสามารถในการผ่อน - ราคาบ้านขึ้นเร็วกว่าเงินเดือน
ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มเฉลี่ยราว 3 ถึง 4% ต่อปี บ้านที่เคยราคา 1,000,000 บาท ขยับมาแถว 1,280,000 บาท เพิ่มเกือบ 300,000 บาท แต่รายได้ของหลายอาชีพโตไม่ทัน ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเหมือนวิ่งไล่ราคาที่หนีไปเรื่อยๆ - ค่าเช่าไม่ได้ขึ้นตามราคาขาย บางพื้นที่ยังลดลง
ในย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ค่าเช่าคอนโดปี 2024 ลดลงราว 3.5 ถึง 4.5% ขณะที่ราคาขายยังสูงขึ้น ค่าเช่ารายเดือนจึงดูเบากว่าค่างวด โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้นลงได้ การเช่าจึงกลายเป็น “แผนหลัก” ของหลายคน ไม่ใช่แค่ทางผ่านก่อนซื้อ
การเลือกเช่าในมุมหนึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่รอบคอบ เพราะช่วยเลี่ยงหนี้ที่เกินตัว แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นสัญญาณว่า หลายครัวเรือนกำลังถูกผลักออกจากโอกาสสะสมทรัพย์สินระยะยาว
วงจรความกังวลทางการเงิน เมื่อคนทั้งประเทศชะลออนาคต
ผลสำรวจ Ipsos ชุด “What Worries Thailand? H2 2025” (กลุ่มตัวอย่างราว 500 คน อายุ 20 ถึง 74 ปี) สะท้อนความกังวลที่ลึกกว่าตัวเลขตลาดบ้าน
ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ
- 76% มองว่าไทยอยู่ในภาวะถดถอย
- 52% ไม่มั่นใจจะซื้อของชิ้นใหญ่ เช่น บ้านหรือรถ (เพิ่มจากปีก่อน)
- 48% ไม่มั่นใจเรื่องการลงทุนเพื่ออนาคต เช่น เกษียณหรือการศึกษาลูก
เกือบ 4 ใน 10 บอกว่าถ้าเลือกได้ อยากเกิดในปี 1975 มากกว่า เพราะรู้สึกว่าชีวิตตอนนั้นง่ายและมั่นคงกว่า ภาพนี้สะท้อนความอึดอัดของคนจำนวนมากที่รู้สึกติดอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจปัจจุบัน
ตัวเลขที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานเศรษฐกิจและเครดิตบูโรยิ่งทำให้เห็นแรงกดดันชัดขึ้น
- หนี้ส่วนบุคคลค้างชำระเกิน 90 วัน รวมราว 1.24 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 6.9% เมื่อเทียบรายปี
- กรมบังคับคดีมีบ้านถูกยึดประกาศขายทอดตลาด 67,641 หลัง เพิ่มขึ้น 210% มูลค่ารวมมากกว่า 120,000 ล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชีวิตจริง หลายบ้านลดการใช้จ่าย เลื่อนซื้อบ้าน เลื่อนซื้อรถ และบางคนชะลอการเริ่มต้นครอบครัว
เศรษฐกิจภาพรวมก็ยังอ่อนแรง GDP ไตรมาส 3 ปี 2025 โตเพียง 1.2% และมีการเตือนจากสำนักวิจัยบางแห่ง รวมถึง SCB EIC ถึงความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค โดยอัตราเติบโตทั้งปีอาจต่ำกว่า 1%
เมื่อรายได้ไม่แน่นอน คนก็ชะลอการซื้อของชิ้นใหญ่ ยอดขายตก ธุรกิจชะลอลงทุน การจ้างงานช้าลง รายได้ครัวเรือนไม่ขยับ ความกังวลก็ยิ่งวนกลับมาเป็นวงจร ซึ่งถูกเรียกว่า Financial Fear Loop
เชียงรายจากเมืองชายแดน สู่ศูนย์กลางโอกาสรอบใหม่
แม้ภาพรวมประเทศจะระมัดระวัง แต่ เชียงราย ในปี 2025 ถูกจับตาในฐานะพื้นที่ที่อาจมีจังหวะใหม่ให้ตลาดอสังหาฯ
1) รถไฟทางคู่ เด่นชัย, เชียงราย, เชียงของ
โครงการเส้นทางหลักในล้านนาตะวันออก ระยะทางมากกว่า 323 กิโลเมตร วงเงินลงทุนราว 72,920 ถึง 85,345 ล้านบาท ความคืบหน้าในปี 2025 ถูกรายงานที่ประมาณ 41 ถึง 46% และคาดว่าจะเปิดบริการในปี 2028 โครงการนี้ถูกมองว่าจะช่วยลดเวลาเดินทาง และเพิ่มบทบาทเชียงรายในฐานะจุดเชื่อมโลจิสติกส์และการค้าชายแดนในกลุ่ม GMS
ผลข้างเคียงที่เห็นได้ชัดคือราคาที่ดินรอบแนวสถานีราว 26 จุด ขยับขึ้นแรง บางรายงานระบุว่าแปลงหน้าสถานีบางแห่งขึ้นได้ถึง 10 เท่า จากราคาประเมินเดิม
2) ราคาที่ดินและศักยภาพทำเลในเชียงราย
ราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ช่วง 2023 ถึง 2026 วางกรอบเชียงรายไว้ราว 175 ถึง 85,000 บาทต่อตารางวา โดยรวมยังต่ำกว่าเมืองใหญ่ภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ แต่ในบางโซน ราคาตลาดสูงกว่าราคาประเมิน 20 ถึง 300% และทำเลเด่นบางจุดมีรายงานว่าขึ้นราว 5 ถึง 15% ต่อปี
โซนที่ถูกพูดถึงมากขึ้น
- แม่กรณ์ โซนธุรกิจสำคัญ ใกล้ Central, HomePro และย่านพาณิชย์หลัก
- บ้านดู่ ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวงและมหาวิทยาลัย เหมาะกับตลาดเช่านักศึกษาและบุคลากรสายแพทย์
- ริมกก ทำเลริมน้ำ บรรยากาศพรีเมียม เป็นที่สนใจของผู้เกษียณและคนรายได้สูงที่มองหาบ้านหลังที่สอง
- ถนนเวียงบูรพา (บายพาส) เส้นทางหลักสำหรับโครงการบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พื้นที่มาก แต่ยังเข้าเมืองได้สะดวก
ภาพของเชียงรายจึงเริ่มถูกมองใหม่ ไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวเหนือสุดของประเทศตามที่คุ้นกัน แต่กำลังถูกวางให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ที่โตตามโครงสร้างพื้นฐาน (รายละเอียดเพิ่มเติมตามลิงก์นี้)
ดอกเบี้ยลด ค่าธรรมเนียมถูกลง เป็นช่วงสั้นๆ สำหรับคนที่พร้อมซื้อ
นอกจากโครงสร้างพื้นฐาน ปี 2025 ยังมีปัจจัยด้านนโยบายที่ทำให้ต้นทุนซื้อบ้านเบาลงช่วงหนึ่ง
- คณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.50% ต่อปี ส่งผลให้ธนาคารทยอยปรับลดอัตราอ้างอิงอย่าง MRR, MLR และ MOR
- ภาครัฐลดค่าธรรมเนียมโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า บ้านราคา 3 ล้านบาท อาจประหยัดค่าธรรมเนียมได้เกือบ 90,000 บาท เมื่อเทียบกับอัตราปกติ และถ้าบ้านอยู่ช่วง 5 ถึง 7 ล้านบาท เงินที่ประหยัดได้อาจแตะหลักแสนหลายแสนบาท ซึ่งนำไปซ่อมแซมหรือเก็บเป็นเงินฉุกเฉินได้
กฎ Loan-to-Value (LTV) ที่ผ่อนคลายขึ้นก็ช่วยอีกทาง บางผลิตภัณฑ์ให้กู้ได้ถึง 100 ถึง 110% ของราคาประเมินสำหรับบ้านหลังแรก ทำให้คนที่ผ่อนไหวแต่มีเงินก้อนไม่มากมีโอกาสขยับเข้าใกล้การซื้อได้
ธนาคารแข่งดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านหนักขึ้น
ปี 2025 ผู้ให้กู้ทั้งธนาคารรัฐและธนาคารพาณิชย์แข่งกันดึงลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น
Government Housing Bank (GH Bank)
- เสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรกแถว 2.50% และเฉลี่ยราว 3% ในช่วง 3 ปีแรก
- มีโครงการอย่าง “บ้านล้านล้าน, เฟส 3” สำหรับบ้านไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ผ่อนได้นานถึง 40 ปี เน้นผู้ซื้อบ้านหลังแรก รายได้ต่ำถึงปานกลาง
Government Savings Bank (GSB)
- มี “GSB Green Home Loan” อัตราปีแรกเริ่มราว 1.89% และเฉลี่ย 3 ปีแรกประมาณ 2.65 ถึง 2.89%
- บางกรณีให้วงเงินกู้ได้ถึง 110% ของราคาประเมินในช่วงบ้าน 3 ถึง 7 ล้านบาท
ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ เช่น Siam Commercial Bank, Kasikornbank, Krung Thai Bank, Bangkok Bank, Bank of Ayudhya และรายอื่นๆ ก็ทำโปรโมชันอัตราปีแรกต่ำ (บางช่วงต่ำกว่า 2%) พร้อมสื่อสารค่างวดปีแรกประมาณ 3,000 บาทต่อเงินกู้ 1 ล้านบาท หรืออัตราเฉลี่ย 3 ปีแรกในช่วง 2.8 ถึง 3.4%
อย่างไรก็ตาม อัตราโปรไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ผู้กู้ต้องดูเงื่อนไขหลังปีที่ 3 เพราะหลายสินเชื่อจะกลับไปผูกกับ MRR หรือ MLR ตัวอย่างที่มักถูกยกขึ้นมาเพื่อให้เห็นความเสี่ยงคือ
- กู้ 3,000,000 บาท ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3% ผ่อน 30 ปี ค่างวดช่วงแรกอาจราว 15,800 บาทต่อเดือน
- หลังหมดโปร ถ้าอัตราดอกเบี้ยขยับไปแถว 6.5% ค่างวดอาจขึ้นเป็นราว 24,500 บาทต่อเดือน
ส่วนต่างเกือบ 9,000 บาท ต่อเดือนกระทบชีวิตประจำวันทันที หลายคนพลาดตรงนี้ตอนเซ็นสัญญา หากไม่มีแผนรีไฟแนนซ์หรือขอต่ออัตราพิเศษ (retention rate)
อสังหาฯ เชียงราย จากบ้านแนวราบสู่คอนโดที่ปล่อยเช่าได้
ผู้พัฒนาโครงการในเชียงราย ทั้งรายใหญ่จากส่วนกลางและผู้ประกอบการท้องถิ่น เริ่มปรับตามดีมานด์ที่เปลี่ยนไป
- กลุ่มระดับประเทศ เช่น CPN Residence, Supalai และรายอื่นๆ เปิดโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และบ้านระดับพรีเมียมในโซนแม่กรณ์ บ้านดู่ และแนวบายพาส กลุ่มเป้าหมายคือครอบครัวในพื้นที่และคนต่างจังหวัดที่มองหาบ้านหลังที่สอง
- ผู้พัฒนาในพื้นที่อย่าง Sinthanee Property ใช้ความเข้าใจทำเลและแคมเปญโปรโมชันหนัก เช่น ชุดเครื่องใช้ไฟฟ้า แอร์ฟรี และบัตรกำนัลมูลค่าสูง เพื่อช่วยให้คนที่ลังเลระหว่างเช่ากับซื้อกล้าตัดสินใจ
ฝั่งคอนโด เริ่มเห็นภาพชัดขึ้นในทำเลใกล้เมืองและใกล้ศูนย์การค้า ปล่อยเช่าได้กับพนักงานเอกชน ข้าราชการ และผู้พักระยะยาว บางโครงการมีการประเมินว่าให้ผลตอบแทนค่าเช่าแบบขั้นต้น (gross rental yield) ราว 7% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของหลายจังหวัดใหญ่
เมื่อเทียบกับบ้านแนวราบที่ต้องใช้เงินดาวน์และภาระรายเดือนสูงกว่า คอนโดใจกลางเมืองเชียงรายจึงกลายเป็นอีกทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ และอยากกระจายออกจากกรุงเทพฯ
คนไทยกำลังเช่าต่อ หรือรอให้พร้อมก่อนซื้อ
ภาพใหญ่ของปี 2025 ไม่ได้มีแค่ “ซื้อหรือไม่ซื้อ” แต่รวมถึง “ซื้อที่ไหน ซื้อเมื่อไหร่” และ “โครงสร้างหนี้แบบไหนที่ปลอดภัย”
สำหรับคนที่รายได้ไม่นิ่ง หรือมีหนี้หมุนเวียนสูง การเช่าต่ออาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในระยะสั้น เพราะช่วยรักษากระแสเงินสดและลดความกดดันช่วงเศรษฐกิจยังผันผวน
สำหรับคนที่พร้อม มีรายได้สม่ำเสมอ หนี้เดิมอยู่ในระดับรับได้ และตั้งใจถือทรัพย์สินระยะยาว เชียงรายอาจเป็นจุดที่น่าสนใจจากปัจจัยหนุนหลายด้าน เช่น
- ดอกเบี้ยต่ำกว่าช่วงก่อนหน้า
- ค่าธรรมเนียมรัฐลด ช่วยประหยัดได้ตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสน
- โครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่มีผลต่อมูลค่าที่ดินในอนาคต
- ตลาดเช่าที่โตในบางทำเล
การตัดสินใจที่ดีมาจากตัวเลขจริง ไม่ใช่กระแส และไม่ใช่ความกลัว การประเมินรายได้ ความมั่นคงงาน ภาระหนี้ และแนวโน้มพื้นที่เป็นเรื่องที่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
วิกฤตระดับประเทศ โอกาสระดับเมือง เชียงรายอยู่ในจุดตัดสำคัญ
ประเทศไทยในปี 2025 กำลังเผชิญวงจรความกังวลทางการเงิน หลายคนเลื่อนการตัดสินใจเรื่องสำคัญ บ้านที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง กลับกลายเป็นความเสี่ยงที่หลายคนไม่อยากรับ อัตราปฏิเสธสินเชื่อที่ประมาณ 40% หนี้ค้างชำระระดับล้านล้าน และบ้านถูกยึดกว่า 67,000 หลัง ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือภาพครอบครัวที่กำลังตึงมือ
ขณะเดียวกัน เชียงรายกำลังเปลี่ยนเร็ว รถไฟทางคู่กำลังสร้างเครือข่ายขนส่ง ราคาที่ดินตอบรับ และดอกเบี้ยต่ำพร้อมมาตรการลดค่าธรรมเนียม ทำให้เกิดช่วงเวลาสั้นๆ ที่เอื้อต่อคนที่เตรียมตัวมาดี
คำตอบไม่ได้เหมือนกันทุกคน บางคนควรเช่าต่ออย่างมีแผนเพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงิน บางคนอาจเลือกซื้อในจังหวะที่เหมาะ มองเชียงรายเป็นที่อยู่อาศัย เมืองเกษียณ หรือการลงทุน
สิ่งสำคัญคือไม่ตัดสินใจด้วยความกลัวล้วนๆ หรือหวังล้วนๆ ควรใช้เงื่อนไขสัญญา งบจริง และแผนระยะยาวเป็นตัวนำ เพื่อให้ความฝันเรื่องบ้านยังพอเอื้อมถึงได้
แหล่งที่มา: Nakorn Chiang Rai

