Crime News
จับกุมแม่ต้องสงสัยบังคับลูกสาววัย 12 ปีค้าประเวณีในญี่ปุ่น
กรุงเทพฯ – ตำรวจจับกุมหญิงคนหนึ่งเมื่อวันอังคารในข้อหาบังคับลูกสาววัย 12 ปีให้ค้าประเวณีในญี่ปุ่น ผู้ต้องสงสัยถูกส่งตัวกลับประเทศจากไต้หวันแล้ว
ผู้ต้องสงสัยเป็นหญิงอายุ 29 ปี ตำรวจระบุชื่อเพียงว่า “ลัค” เธอถูกควบคุมตัวทันทีหลังเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ราว 17.00 น. ด้วยเที่ยวบินจากไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศที่จับกุมตัวเธอไว้ก่อน แล้วส่งมอบให้ทางการไทย
เจ้าหน้าที่พาตัวเธอไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ในกรุงเทพฯ เพื่อสอบปากคำ ตำรวจระบุว่าจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมในการแถลงข่าวช่วงบ่ายวันพุธ
พนักงานสอบสวนระบุว่า ผู้ต้องสงสัยทิ้งลูกสาวไว้ที่กรุงโตเกียวกับเจ้าของร้านนวดรายหนึ่ง ก่อนที่เด็กจะถูกบังคับให้ค้าประเวณี ขณะเดียวกันมีข้อมูลว่าแม่รายนี้หลบหนีไปไต้หวันเมื่อเดือนกันยายน
เด็กหญิงยังอยู่ในการดูแลของทางการญี่ปุ่น และถูกปฏิบัติในฐานะ “ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์”
ตำรวจเชื่อว่าในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนปีนี้ ผู้ต้องสงสัยซึ่งมีรายงานว่าเคยทำงานค้าประเวณี ได้จัดให้มีการซื้อบริการทางเพศจากลูกสาวในหลายจุด ทั้งในจังหวัดเพชรบูรณ์ บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ และที่ร้านนวดในกรุงโตเกียว
ตำรวจระบุว่าเธอถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรง เช่น การจัดให้มีการค้าประเวณีที่เกี่ยวข้องกับผู้เยาว์ และความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยโทษอาจสูงสุดจำคุก 20 ปี และปรับสูงสุด 2 ล้านบาท
ภาพรวมปัญหาการค้ามนุษย์เด็กในไทย
ในอดีต ปัญหาการค้ามนุษย์เด็กเพื่อค้าประเวณีและการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในไทย เคยมีกรณีครอบครัวยากจนมากขายลูกสาวเข้าสู่วงการค้าประเวณี เหตุการณ์ลักษณะนี้ถูกพูดถึงบ่อยในช่วงทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000
ปัจจัยสำคัญมักเกี่ยวกับความยากจน หนี้สิน และความจำเป็นต้องส่งเงินกลับบ้าน โดยพบมากในพื้นที่ชนบทภาคเหนือ และบางชุมชนชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง (รวมถึงกลุ่มอาข่า)
กลุ่มชุมชนบนพื้นที่สูงและแรงงานอพยพจากประเทศใกล้เคียง เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา มักมีความเสี่ยงสูงกว่า หลายคนไม่มีสัญชาติไทย ทำให้เข้าถึงโรงเรียน การรักษาพยาบาล และงานถูกกฎหมายได้ยาก ความเปราะบางเหล่านี้ทำให้ครอบครัวยิ่งติดอยู่กับความยากจน ขบวนการค้ามนุษย์มักเข้าหาด้วยคำสัญญาเรื่องงานจริง แต่สุดท้ายบังคับเด็กผู้หญิงเข้าสถานบริการในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือเมืองท่องเที่ยว
ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ยังมีบางกรณีที่แม่หรือญาติบังคับเด็กให้ค้าประเวณี และมีรายงานเป็นระยะในช่วงปี 2010s และ 2020s โดยเด็กมีอายุราว 9 ถึง 13 ปี หน่วยงานรัฐมองกรณีเหล่านี้เป็นคดีค้ามนุษย์ และดำเนินคดีอย่างจริงจัง
การค้ามนุษย์เด็กเพื่อประโยชน์ทางเพศในไทยยังคงเกิดขึ้น แต่ภาพที่พบบ่อยขึ้นคือกรณีที่เกี่ยวข้องกับแรงงานอพยพ การล่อลวงทางออนไลน์ และการบังคับโดยเครือข่ายจัดตั้ง มากกว่าการ “ขายลูก” โดยพ่อแม่โดยตรง ความยากจนยังเป็นปัจจัยหลักอยู่เสมอ การเข้าถึงการศึกษาเพิ่มขึ้น รวมถึงนโยบายเรียนฟรีถึงชั้น ม.6 ช่วยลดความเสี่ยงในเด็กสัญชาติไทยจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงกลับไปกระจุกอยู่ในกลุ่มเด็กไร้สัญชาติ เด็กไม่มีเอกสาร หรือเด็กอพยพที่เพิ่งเข้ามา
กฎหมายคุ้มครองเด็กและการปราบปรามค้ามนุษย์ในไทย
ไทยมีกฎหมายที่เอาผิดการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กและการค้ามนุษย์ค่อนข้างเข้ม เช่น
- พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี (1996) ห้ามการชักชวน จัดหา จัดให้มี หรือหาประโยชน์จากการค้าประเวณี และเพิ่มโทษเมื่อเกี่ยวข้องกับผู้เยาว์
- กฎหมายอายุความยินยอมและมาตรการคุ้มครองเด็ก การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่อายุต่ำกว่า 15 ปีถูกมองเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือข่มขืนตามกฎหมาย การนำผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีไปเกี่ยวข้องกับสถานค้าประเวณีเป็นความผิด แม้เด็กจะแสดงท่าที “ยินยอม” ก็ตาม
- พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (2008) ครอบคลุมการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ และสนับสนุนงานบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงหน่วยงานอย่าง TICAC (Thailand Internet Crimes Against Children) ที่ทำคดีเกี่ยวกับออนไลน์
หน่วยงานรัฐและองค์กรเอกชน (NGOs) รวมถึง ECPAT, Destiny Rescue และ World Vision ยังรายงานปัญหาอย่างการล่อลวงทางออนไลน์ และการล่วงละเมิดที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน มีการรายงานว่าคดีแบบเปิดเผยตามท้องถนนลดลงเมื่อเทียบกับหลายสิบปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการบังคับใช้กฎหมายและความตระหนักของสังคมที่เพิ่มขึ้น
งานป้องกันและอุดช่องโหว่
หลายองค์กรทำงานป้องกันในพื้นที่เสี่ยง ผ่านการสนับสนุนการศึกษา บ้านพักพิง และกิจกรรมชุมชน รายงาน U.S. Trafficking in Persons ในช่วงหลังมักระบุว่ามีความคืบหน้าระดับหนึ่ง ทั้งด้านการสืบสวน การช่วยเหลือผู้เสียหาย และการดำเนินคดี แต่ก็ยังมีช่องโหว่ โดยเฉพาะเรื่องค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และการคุ้มครองชุมชนแรงงานอพยพ
ทั้งหมดนี้ยังเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนที่รุนแรง ซึ่งผูกกับความเหลื่อมล้ำและทางเลือกที่จำกัด ไม่ใช่เรื่องที่สะท้อนว่าเป็น “ค่านิยมปกติ” ของสังคมไทยในปัจจุบัน รายงานที่น่าเชื่อถือจำนวนมากชี้ว่าแรงขับหลักของคดีส่วนใหญ่ในยุคนี้คือการหลอกลวง การบังคับ และเครือข่ายค้ามนุษย์ที่จัดตั้ง มากกว่าการขายเด็กโดยครอบครัวแบบที่เคยพบมากในอดีต

