News
เครื่องบินขับไล่ F-16 ของไทยทิ้งระเบิดฐานยิงจรวดของกองทัพกัมพูชาใกล้เมืองปอยเปต
กรุงเทพฯ – ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม เมื่อกองทัพอากาศไทย (Royal Thai Air Force, RTAF) ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ปฏิบัติการโจมตีแบบเจาะจงต่อจุดที่ไทยระบุว่าเป็นฐานและสิ่งปลูกสร้างทางทหารของกัมพูชา บริเวณใกล้เมืองคาสิโนสำคัญอย่าง Poipet
ฝ่ายไทยระบุว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการตอบโต้เชิงป้องกัน เพื่อหยุดยั้งภัยจากอาวุธหนัก โดยเฉพาะระบบจรวดหลายลำกล้อง เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 Grad หลังมีรายงานว่าเกิดการยิงจรวดข้ามแดนเข้ามาในเขตไทยหลายครั้ง นับตั้งแต่การปะทะกลับมาปะทุเมื่อต้นเดือน
ตามข้อมูลสรุปของไทย เป้าหมายที่ถูกโจมตีอยู่บริเวณรอบนอกปอยเปต ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย โดยเน้นจุดส่งกำลังบำรุง และพื้นที่เก็บอาวุธ ไทยอ้างอิงรายงานข่าวกรองว่า กัมพูชามีการสะสมจรวดและเตรียมโจมตีเพิ่มเติม โฆษก RTAF Air Marshal Chakkrit Thammavichai ระบุว่า ก่อนการโจมตีมีการพบความเคลื่อนไหวของอาวุธหนัก ซึ่งไทยประเมินว่าเป็นความเสี่ยงทันทีต่อทหารและประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้แนวชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้ว
โฟกัสที่ภัย BM-21 และการยิงข้ามแดน
การใช้ F-16 เกิดขึ้นท่ามกลางรายงานว่า ฝ่ายกัมพูชาเพิ่มการยิงด้วยระบบ BM-21 ซึ่งสามารถยิงจรวดได้จำนวนมากต่อการยิงหนึ่งครั้ง แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของไทยระบุว่า ระบบนี้ถูกใช้ในการโจมตีข้ามแดนหลายรอบ และบางครั้งกระทบถึงพื้นที่พลเรือนในจังหวัดอย่าง สุรินทร์และศรีสะเกษ
รายงานจากไทยยังโยงเหตุในศรีสะเกษ ที่จรวดถูกกล่าวหาว่าตกใส่ปั๊มน้ำมัน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเกิดความเสียหายหนัก
โฆษกกระทรวงกลาโหมไทยย้ำว่า เป้าหมายทั้งหมดเป็น “เป้าหมายทางทหาร” โดยชี้ว่าเป็นคลังอาวุธและจุดสนับสนุนการยิงจรวด BM-21 วิดีโอที่เผยแพร่โดยกองทัพภาคที่ 2 ปรากฏภาพคล้ายการระเบิดต่อเนื่องหลังการโจมตี ซึ่งฝ่ายไทยระบุว่าอาจเกิดจากกระสุนหรือยุทโธปกรณ์ในพื้นที่ติดไฟ
ไทยยังระบุด้วยว่า พยายามจำกัดการโจมตีให้อยู่ห่างจากเขตใจกลางปอยเปตเพื่อลดความเสี่ยงต่อพลเรือน แต่ฝ่ายกัมพูชาโต้แย้งว่า ระเบิดตกในพื้นที่เมือง
ในช่วงเวลารายงาน ยังไม่มีข้อมูลอิสระที่ยืนยันจำนวนผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการโจมตีวันที่ 18 ธันวาคม เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นการโจมตีทางอากาศครั้งสำคัญใกล้ปอยเปตในรอบความขัดแย้งระยะล่าสุด ซึ่งเริ่มกลับมารุนแรงอีกครั้งตั้งแต่ 7 ธันวาคม หลังข้อตกลงหยุดยิงที่ทำไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมเริ่มสั่นคลอน
นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล สนับสนุนปฏิบัติการ
นายกรัฐมนตรี Anutin Charnvirakul แถลงที่กรุงเทพฯ หลังเหตุการณ์ไม่นาน โดยสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพไทย เขาระบุว่าไทยตอบโต้จากการถูกโจมตีซ้ำ และทำเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศ พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการโจมตี ถอนอาวุธหนัก และจัดการทุ่นระเบิด ก่อนจะเดินหน้าพูดคุยอย่างจริงจัง
อนุทินซึ่งเข้ารับตำแหน่งในปีนี้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศ ยืนยันว่าไทยต้องปกป้องอธิปไตย แต่ยังเปิดช่องให้ลดความตึงเครียดด้วยการคุยกันโดยตรง
เขายังกล่าวถึงความพยายามจากภายนอกที่ต้องการช่วยลดความร้อนแรง รวมถึงกระแสการติดต่อที่เชื่อมโยงถึงอดีตผู้นำสหรัฐฯ Donald Trump แต่ย้ำว่ากัมพูชาต้องแสดงความจริงใจก่อน ขณะเดียวกัน รายงานจากฝั่งไทยยังสะท้อนว่า กรุงเทพฯต้องการเจรจาโดยตรงมากกว่าการให้บุคคลที่สามเข้ามามีบทบาท
ด้านกัมพูชา กระทรวงกลาโหมในพนมเปญออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที กล่าวหาว่าไทยใช้ “ความรุนแรง” และระบุว่า F-16 ทิ้งระเบิดหลายลูกใส่ปอยเปต ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องคาสิโน และมีคนไทยเดินทางไปจำนวนมาก เพราะไทยห้ามการพนัน
กัมพูชายืนยันว่า การโจมตีเกิดบนแผ่นดินกัมพูชา และเสี่ยงต่อชีวิตพลเรือนรวมถึงอาคารบ้านเรือน โดยมีการพูดถึงความเสียหายของสิ่งปลูกสร้าง แต่ยังไม่ให้ตัวเลขผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่ชัดเจน
ประธานวุฒิสภา Hun Sen อดีตผู้นำที่ยังมีอิทธิพล โพสต์ข้อความออนไลน์ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้น แต่ก็กล่าวหาไทยว่าเป็นฝ่ายผลักความขัดแย้งให้บานปลาย กัมพูชายังระบุว่ากองกำลังของตนตอบโต้ตามสถานการณ์ และได้ปิดด่านพรมแดนทางบกทั้งหมด รวมถึงด่านปอยเปต
การปิดด่านทำให้คนไทยจำนวนมากติดค้างอยู่ฝั่งชายแดน พนมเปญยังขอให้อาเซียนและสหประชาชาติเข้ามามีส่วนช่วย โดยระบุว่าการโจมตีของไทยขัดต่อหลักปฏิบัติระหว่างประเทศ
ยอดสูญเสียเพิ่ม คนอพยพมากขึ้น
นับตั้งแต่การสู้รบกลับมารุนแรงเมื่อ 7 ธันวาคม ทั้งสองฝ่ายรายงานความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง ฝั่งไทยระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย ในจำนวนนี้เป็นทหาร 16 นาย และมีพลเรือนเสียชีวิตด้วย รวมถึงผู้บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ส่วนฝั่งกัมพูชารายงานการเสียชีวิตของพลเรือนราว 17 ถึง 18 ราย และมีผู้บาดเจ็บหลายสิบคน ขณะที่พนมเปญยังไม่เปิดเผยตัวเลขความสูญเสียของทหาร
ผลกระทบโดยรวมหนักขึ้น เมื่อมีการใช้อาวุธปืนใหญ่ รถถัง โดรน และกำลังทางอากาศ มีรายงานว่าประชาชนมากกว่า 800,000 คนจากทั้งสองฝั่งต้องอพยพออกจากบ้าน ศูนย์พักพิงในพื้นที่อย่างสุรินทร์และบันเตียเมียนเจยเริ่มตึงมือ หลายครอบครัวเดินทางมาด้วยของจำเป็นไม่กี่ชิ้น และยังไม่เห็นแนวโน้มว่าสถานการณ์จะจบลงเร็ว
ฝ่ายไทยเชื่อมโยงการโจมตีด้วย BM-21 ก่อนหน้านี้เข้ากับเหตุที่กระทบพื้นที่พลเรือน รวมถึงรายงานเด็กได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดใกล้ปั๊มน้ำมัน ไทยยังกล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายกระตุ้นรอบความรุนแรงนี้ ด้วยการขยับกำลังและวางทุ่นระเบิด
ความตึงเครียดยังขยายไปถึงทะเล รายงานจากการลาดตระเวนของกองทัพเรือไทยในอ่าวไทยระบุว่า พบโดรนทหารกัมพูชาใกล้แท่นขุดเจาะน้ำมันของไทย โดยไทยสงสัยว่าโดรนอาจใช้เพื่อสอดแนมหรือสร้างความปั่นป่วนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพลังงาน แหล่งข่าวในกองทัพเรือไทยชี้ว่า เหตุนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่ได้จำกัดแค่แนวชายแดนบนบก และจะเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังให้เข้มข้นขึ้น
ขณะเดียวกัน โดรนถูกพูดถึงมากขึ้นในสนามรบ มีรายงานการใช้โดรน FPV แบบพุ่งชนเป้าหมาย เพื่อโจมตีบังเกอร์หรือแนวป้องกัน ฝ่ายไทยอ้างว่าสามารถยิงตกได้หลายลำ และบางลำมีลักษณะการควบคุมที่ซับซ้อน จนเกิดการพูดถึงความเป็นไปได้ของความช่วยเหลือด้านเทคนิคจากภายนอก
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชามีรากลึกจากเส้นเขตแดนยุคอาณานิคม และความตึงเครียดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ประวัติศาสตร์ รวมถึงประเด็นรอบปราสาทพระวิหาร เหตุปะทะในเดือนกรกฎาคม 2025 เคยสงบลงหลังมีแรงกดดันจากภายนอก แต่ความไม่ไว้วางใจที่สะสมมานานทำให้ความรุนแรงกลับมาได้ง่าย
ท่ามกลางแรงผลักดันจากอาเซียนให้เปิดการพูดคุยเร่งด่วน และเสียงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ ชาวบ้านตามแนวชายแดนยังต้องอยู่กับความไม่แน่นอนทุกวัน ในเชียงรายและจังหวัดภาคเหนืออื่น ๆ ก็เริ่มมีความกังวลเรื่องเสถียรภาพและการค้า เพราะเส้นทางขนส่งบางจุดได้รับผลกระทบจากการปิดด่านและความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
อนุทินส่งสัญญาณว่าอาจมีมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การจำกัดการส่งออกเชื้อเพลิง เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อกัมพูชา ขณะเดียวกันก็ยังมีเสียงเรียกร้องให้เปิดโต๊ะเจรจาจากหลายฝ่าย เพราะสงครามที่ขยายวงจะสร้างต้นทุนสูงเกินรับไหวสำหรับทั้งสองประเทศ
ไทยยังคงยกระดับการเฝ้าระวังของ RTAF และกำลังภาคพื้นดิน เมื่อปอยเปตได้รับผลกระทบจากการโจมตีล่าสุด และเมืองชายแดนหลายแห่งเตรียมรับความเสี่ยงจากเหตุปะทะระลอกใหม่ ทิศทางต่อไปจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ว่าจะกดความร้อนแรงให้ลดลง หรือปล่อยให้สถานการณ์ลุกลามต่อไป




